วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

“สูตรแห่งชีวิตประจำวัน” LIFEBOOK


สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑.ดื่มน้ำให้มาก
๒.กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕.หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ ( นั่งสมาธิหลังตื่นนอน 05.00-05.30 )
๖.เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗.อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘.นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙.นอนวันละ 7 ชั่วโมง (ครูนิตย์ชอบนอนประมาณ 23.00 - 05.oo )
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้
วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้
แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้
๑.อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒.อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓.อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔.อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕.อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖.จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗.ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘.ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓.จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔.คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑.อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒.จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓.จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔.จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕.พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖.คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗.งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ
ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน ด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

โทรทัศน์ครู เก้ามิติแห่งการเรียนรู้ (9 D)


โทรทัศน์ครู เก้ามิติแห่งการเรียนรู้ (9 D)
เพื่อก้าวสู่เส้นทางครูมืออาชีพ
ครูเปรียบเสมือนเรือจ้างที่พาหลายชีวิตฝ่าคลื่นลมเพื่อเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ แต่ในท่ามกลางวิกฤตการณ์ของสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยปัญหาสังคม อันหลากหลาย เสมือนคลื่นลมที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงตลอดการเดินทาง ครูจึงจำเป็นต้องมีเข็มทิศกำกับการเดินทาง เพื่อนำหลายชีวิตสู่จุดหมายได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นครูยุคปัจจุบันต้องเปิดโลกทัศน์โดยขยายมิติแห่งการเรียนรู้ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังที่พระราชวรมุนี (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้แสดงพระธรรมเทศนาไว้ตอนหนึ่งว่า "ธรรมชาติของสิ่งต่างๆมีหลยชั้น หลายมิติที่ศึกษาได้ไม่รู้จบ เ ราจำเป็นต้องขยายขอบฟ้าแห่งความรู้ออกไปไม่รู้สิ้น"การศึกษาจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการเตรียมผู้เรียนให้พร้อมที่จะขยายขอบฟ้าแห่งความรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นครูผู้ซึ่งมีหน้าที่ รับผิดชอบในการจัดการศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาศักยภาพทางปัญญา เพื่อเป็นกลไกหลักในการยกระดับทางความคิดของมวลมนุษยชาติ บทความนี้จึงขอนำเสนอ "กลวิธี 9 มิติ สำหรับครู" เพื่อก้าวข้ามมิติแห่งการเรียนรู้ สู่เส้นทางครูมืออาชีพ ซึ่งประกอบด้วยมิติต่างๆ ดังแผนภาพต่อไปนี้
จากแผนภาพเก้ามิติ (9 Dimensions) ที่ผู้เขียนได้พัฒนาขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วย
มิติที่ 1 ก้าวทันเทคโนโลยีที่กำลังรุดหน้า,
มิติที่ 2 ก้าวทันวิถีแห่งการพัฒนา,
มิติที่ 3 ก้าวทันแนวทางในการ แก้ปัญหา,
มิติที่ 4 ก้าวทันทักษะการสื่อสารด้านภาษา,
มิติที่ 5 ก้าวทันเทคนิควิทยาด้านจิตใจ,
มิติที่ 6 ก้าวทันการเปลี่ยนไปของกระแสสังคม,
มิติที่ 7 ก้าวทันภูมิปัญญาไทยให้เป็นภูมิปัญญาสากล,
มิติที่ 8 ก้าวทันการฝึกฝนให้เป็นคนแสวงหาความรู้
และ มิติที่ 9 ก้าวทันการพัฒนาครูสู่มาตรฐานวิชาชีพ
ที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่ารายละเอียดของแต่ละมิตินั้นล้วนมีคุณสมบัติอันแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ผสานกันอย่างกลมกลืน สำหรับเป็นเกราะป้องกันเกลียวคลื่นจากมรสุมของการเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นหากท่านสามารถก้าวทัน 9 มิติ แห่งการเรียนรู้นี้ด้จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ยกระดับสมรรถนะวิชาชีพครูให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ตามมาตรฐานด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานด้านการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน สมดังเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 เพื่อก้าวไปสู่การเป็นครูอาชีพอย่างแท้จริง
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศึกษาธิการ
โทรทัศน์ครู
- ติดตามชม รายการ ครูมืออาชีพ ทางทีวีไทย ทุกวัน จันทร์-ศุกร์ 05.45-06.00 และ 15.45 - 16.00 น. ทาง ETV ทุกวัน เวลา 20.35-20.50 น.
- ติดตามชมรายการ ได้ทาง"สถานีโทรทัศน์ครูดาวเทียมไทยคม 5 ช่อง 36 ku band และ www.thaiteachers.tv


ติดตามเรื่องราวดีดีได้ทางโทรทัศน์ครูได้ที่นี่นะคะ...

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

'นมอุโด้ส' จะมาบอกถึง สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ อ่านเอาฮา!!



1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี

2. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ

3. ถ้าแอบรักใคร อย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า

4. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอา จะได้เร็ว

5. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
6. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย

7. ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ

8. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ

9. ระวังคนที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ

10. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง

11. หนังสือดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือ หนังที่เราชอบดู

12. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ

13. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก

14. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ

15. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ

16. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป

17. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี

18. ตลาด อ.ต.ก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา

19. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน

เป็นอย่างไรบ้าง อ่านจบแล้วรู้สึกว่าอยากพูด 'อ๋อ ใช่ซี่......'

20. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป

21. คนไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป

22. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีนออกจากปาก ให้หลับตาด้วย

23. ปูอัด มันทำจากปลา

24. กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า

25. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ

26. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา

27. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเค้าไม่มีตู้ เค้าไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร

28. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกัน?ลายๆ ตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา

29. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ

30. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน

31. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา

32. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดู หน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ

33. ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก

34. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน

35. เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ

36. ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก

37. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่เพื่อนฉัน' หมายความว่า 'แฟนฉัน'

38. ถ้ามีการแนะนำตัวว่า 'นี่แฟนฉัน' หมายความว่า 'ผัว/เมียฉัน

เครื่องมือจัดการความรู้ : 4 คำถาม 7 ขั้นตอนกับ AAR



AAR หรือ After Action Review หรือชื่อภาษาไทยเรียกว่า "การทบทวนหลังกิจกรรม" เป็นขั้นตอนหนึ่งในวงจรการทำงาน เป็นการทบทวนวิธีการทำงาน ทั้งด้านความสำเร็จและปัญหาที่เกิดขึ้่น ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อค้นหาคนที่ทำงานผิดพลาด ไม่ใช่การกล่าวโทษใครทั้งสิ้น แต่เป็นการทบทวนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงาน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ให้เกิดขึ้นอีก ในขณะเดียวกันก็คงไว้ซึ่งวิธีการที่ดีอยู่แล้ว

AAR มีใช้ครั้งแรกในกองทัพของสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณปี 1970 โดยมีวัตถุประสงค์ในขณะนั้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของกองทัพ แก้ไขช่องโหว่ที่อาจทำให้เป็นรองฝ่ายตรงข้าม หรือทำให้สูญเสียทหารฝีมือดีในการทำศึกสงคราม และ สิ่งที่สำคัญคือการได้ฝึกการทำงานเป็นทีมไปพร้อมกันด้วย จนกระทั่งปี 1990 ภาคธุรกิจซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีภาวะการแข่งขันสูงและแข่งขันตลอดเวลาเพื่อความอยู่รอดขององค์กร ได้เริ่มนำเทคนิคนี้มาใช้ในการทำงานเพื่อพัฒนาองค์กร เพื่อครองส่วนแบ่งการตลาดสูงขึ้นหรือเพื่อทำกำไรมากขึ้น ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เทคนิคนี้ได้รับความสนใจอย่างมากมายต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ทำไม AAR จีึงได้รับความสนใจมากมายนัก ลองมาดูกันว่าจุดเด่นของ AAR มีอะไรบ้าง

1. ทำให้เรียนรู้ว่าในการทำงานต่างๆ ไม่ควรชื่นชมความสำเร็จแต่เพียงด้านเดียว ต้องยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย และควรให้ความสนใจมากกว่าความสำเร็จด้วยซ้ำ เพราะ ปัญหาคือโอกาสในการพัฒนาคนเพื่อพัฒนางานนั่นเอง
2. ฝึกการรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำของเพื่อนร่วมงาน ที่อาจทำให้คุณได้รู้ว่า "ทุกปัญหามีทางออก" นั้นเป็นอย่างไร
3. ฝึกการทำงานเป็นทีม
4. สามารถใช้เทคนิคนี้กับงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานประจำที่ดูเหมือนว่าไม่สำคัญ เช่น การรับโทรศัพท์ การจัดประชุม ไปจนถึงโครงการระยะยาวที่ได้รับเงินสนับสนุนหลายพันล้านบาท
5. ผู้ที่เข้าร่วมคือเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมแผนก หรือทีมงาน ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างจาก Peer Assist ที่เป็นการขอคำแนะนำจากผู้รู้ภายนอกกลุ่ม

วิธีการในการทำ AAR ก็ไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อนแต่อย่างใด เพียงแต่คุณตอบคำถาม 4 ข้อนี้ และทำให้ครบ 7 ขั้นตอนเท่านั้นเอง

4 คำถามกับ AAR คือ
1. สิ่งที่คาดว่าจะได้รับจากการทำงานคืออะไร
2. สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร
3. ทำไมจึงแตกต่าง
4. สิ่งที่ได้เรียนรู้และวิธีการลด/แก้ความแตกต่างคืออะไร

7 ขั้นตอนกับ AAR คือ
1. ควรทำ AAR ทันทีหรือเร็วที่สุดหลังจากจบงานนั้นๆ
2. ไม่มีการกล่าวโทษ ซ้ำเติม ตอกย้ำซึ่งกันและกัน ไม่มีความเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง มีแต่บรรยากาศที่เป็นกันเอง
3. มี "คุณอำนวย" คอยอำนวยความสะดวก กระตุ้น ตั้งคำถามให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะของตน
4. ถามตัวคุณเองว่าผลที่คาดว่าควรได้รับคืออะไร
5. หันกลับมาดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร
6. ความแตกต่างคืออะไร ทำไมจึงแตกต่าง
7. จดบันทึก เพื่อเตือนความจำว่า วิธีการใดบ้างที่คุณได้เคยนำมาแก้ปัญหาแล้ว อย่างไรก็ตามคุณต้องเข้าใจว่า คำตอบหรือวิธีแก้ปัญหาที่ได้จากการทำ AAR คงไม่ใช่คำตอบสุดท้่ายสำหรับงานของคุณ เพราะ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป บริบทเปลี่ยนไป ย่อมทำให้เกิดปัญหาใหม่ได้ตลอดเวลา ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย

บทความจาก: เว็บไซด์สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แบบ ก.ค.ศ.3 แบบใหม่


เพิ่งจะทำเสร็จใหม่ๆ ก็เลยเอามาให้โหลดกันไปส่งเขตใหม่นะคะ
คลิกเลย

วันนี้เปิดเมลล์ เช็คข่าวคราวต่างๆที่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆส่งมาให้จรรโลงจิต รู้สึกโชคดีมากมายที่เปิดเจอเมลล์ฉบับนี้มากๆ ส่งมาจากครูวิทย์ ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ แต่เขาส่งหนังสือธรรมะ ดีดี มาให้ดาวโหลดอ่าน มีแต่เรื่องดีดีทั้งนั้นเลยคะ ...อดใจไม่ไหวก็เลยต้องเอามาให้พี่น้องได้ดาวโหลดกัน เชิญคลิกเลยคะ สำหรับคนที่ชอบอ่านหนังสือธรรมะเหมือนครูนิตโตะ

อัพเดทข่าวการศึกษา

ค้นข่าวมาเล่า

พูดคุย...แลกเปลี่ยน..แบ่งปัน...สมานฉันท์ อิอิ


ShoutMix chat widget